องค์ท้าวมหาพรหมนุษยักษ์ธรรมบาล
(พรหมสามหน้า/มหาพรหมแห่งแกนมหาจักรวาล)
ณ กาลเวลาที่ยาวนานจนไม่อาจคำนวณนับได้หลายล้านล้านล้านกัลป์
มหาจักรวาลอันเป็นที่รวมแห่งจักรวาลน้อยใหญ่หลายล้านจักรวาล
ยามนั้นว่างเปล่าโดยปราศจากสรรพสิ่ง
เป็น 0 แห่งอนัตตาหรือความไม่มีตัวตน
พระเวทย์กับพระธรรมได้อุบัติขึ้นในมหาจักวาลอันไร้ขอบเขต
ดุจเส้นรอบวงกลมที่ไม่สามารถบอกถึงจุดเริ่มต้นและจุดที่สิ้นสุดของมันได้
นานแสนนานจนไม่อาจประมาณกาลได้
พระเวทย์กับพระธรรมได้เข้ารวมตัวกันบังเกิดเป็นมหาพรหมพระองค์หนึ่ง
สีกายม่วงสดใสมีร่างใสดั่งแก้วเปล่งประกายแวววาวงดงามยิ่งนัก
มีสามพระพักตร์อยู่ติดกันด้านหลังเป็นเส้นผมยาวถึงหลัง
พระพักตร์ที่สองเป็นยักษ์มีสีแดงดั่งเหล็กเผาไฟจนร้อนจัด
พระพักตร์ที่สามเป็นมนุษย์เพศชายสีเนื้อ
มหาพรหมนุษย์ยักษ์ธรรมบาล
บังเกิดขึ้นแล้วในมหาจักรวาล
พระองค์ทรงสร้างจักรวาลทั้งหลายขึ้นด้วยจักร
จักรวาลทั้งหลายจึงเป็นประดุจลวดลายของจักร
และทรงหมุนจักรนั้นไปรอบพระองค์
แลดูเสมือนพระองค์ประทับอยู่ในแกนกลางแห่งการหมุนเวียนของจักร
ซึ่งเป็นแกนแห่งมหาจักรวาลทั้งปวง
เมื่อพระองค์ทรงสร้างจักรวาลนี้ขึ้นแล้ว
พระองค์ทรงสร้างเทพเจ้าให้เป็นผู้สร้างจักรวาลขึ้น
เทพเจ้าในจักรวาลนี้คือ
พระศิวะมหาเทพ
เมื่อสร้างเสร็จพระองค์ก็เสด็จกลับไปสู่แกนมหาจักรวาล
อันเป็นแหล่งกำเนิดแห่งพลังทั้งปวง
พระศิวะทรงครุ่นคิดหาวิธีการสร้างและดูแลรักษาจักรวาล
ในความรับผิดชอบของพระองค์
ทรงเห็นว่าจักรวาลนั้นกว้างใหญ่นัก
เกินกว่าที่พระองค์จะสร้างและดูแลรักษาเพียงลำพัง
ผู้ที่สามารถจะทำได้มีแต่องค์มหาพรหมนุษยักษ์ธรรมบาลเท่านั้น
แต่พระองค์ไม่สามารถเรียกร้องให้พรหมนุษยักษ์ธรรมบาลมารับหน้าที่นั้นได้
จึงหาทางออกด้วยการสร้างองค์มหาพรหมนุษยักษ์ธรรมบาลจำลองขึ้น
เลียนแบบองค์จริงขึ้นมาแทน
ด้วยการใช้พระหัตถ์ซ้ายลูบแขนขวาอันเป็นพิธีเทพสังวาส
บังเกิดเป็นเทพเจ้าพระองค์หนึ่ง
มีรูปร่างหน้าตาดั่งพรหมนุษยักษ์
แต่มีพระพักตร์เพียงหนึ่งเดียวมีสี่กรทรงจักรเป็นอาวุธ
ทรงเรียกพระนามเทพเจ้าที่พระองค์สร้างว่า
พระนารายณ์
แต่เนื่องจากพระองค์สร้างพระนารายณ์
โดยเลียนแบบรูปลักษณ์ของพรหมนุษยักษ์
เรียกพระนามว่า พระนารายณ์
พระองค์ทรงถือว่า
พระนารายณ์คือพรหมนุษยักษ์องค์ที่สองสำหรับพระองค์
พระองค์จึงทรงให้การยกย่องพระนารายณ์
แต่บรรดาเทพเทวีฤษีคนธรรพณ์ทุกชั้นฟ้าทราบกันดีว่า
พระนารายณ์ได้รับการสร้างขึ้นโดยเลียนแบบรูปลักษณ์มหาพรหมนุษยักษ์
แต่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกตนมากกว่าพรหมนุษยักษ์
จึงพลอยกล่าวขานถึงพรหมนุษยักษ์ว่าเป็นพระนารายณ์องค์ที่หนึ่ง
ส่วนพระนารายณ์ที่พระศิวะทรงสร้างขึ้นนั้นเป็นพระนารายณ์องค์ที่สอง
มีหลายคนสังเกตเห็นและมีความสงสัยฝังใจมานานแล้วว่า
ระหว่างพระศิวะมหาเทพและพระนารายณ์ผู้ใดยิ่งใหญ่กว่ากัน
เพราะบางครั้งเห็นภาพวาดจากอินเดีย
บางภาพพระศิวะทรงยกมือไหว้พระนารายณ์
บางภาพพระนารายณ์ยกมือไหว้พระศิวะ
ภาพที่พระศิวะทรงไหว้พระนารายณ์นั้น
คือพระศิวะทรงไหว้พระนารายณ์องค์ที่หนึ่ง
(พรหมนุษยักษ์ผู้สร้างพระศิวะ)
ภาพที่พระนารายณ์ทรงไหว้พระศิวะ
นั้นคือพระนารายณ์องค์ที่สองทรงไหว้พระศิวะผู้สร้างพระองค์ขึ้นมา
ต่อมาพระนารายณ์ได้ก่อกำเนิดมหาพรหมธาดาขึ้นจากดอกบัวทอง
ที่งอกออกจากสะดือของพระองค์
ในขณะที่พระองค์ทรงหลับอยู่บนหลังนาคราชในทะเลน้ำนม
ถ้าจะเทียบลำดับญาติกันแบบมนุษย์
พระศิวะทรงเป็นเสมือนลูกของพรหมนุษยักษ์
เพราะพรหมนุษยักษ์ทรงสร้างพระศิวะขึ้นมา
พระนารายณ์องค์ที่สองเปรียบเสมือนลูกพระศิวะ
เพราะพระศิวะทรงสร้างพระนารายณ์องค์ที่สองขึ้นมา
พระนารายณ์องค์ที่สอง
เปรียบเสมือนหลานพรหมนุษยักษ์เพราะเป็นเสมือนลูกของลูก
มหาพรหมธาดาเปรียบเสมือนเหลนของพรหมนุษยักษ์เพราะเกิดจากหลาน
แต่มนุษย์ไม่รู้จักพรหมนุษยักษ์เพราะพระองค์อยู่ห่างไกลออกไปมาก
และไม่ทรงปรารถนาที่จะมาเกี่ยวข้องกับโลกนี้
มหาพรหมนุษยักษ์ธรรมบาล คือ การรวมร่างกันระหว่าง
พระพรหม+มนุษย์+ยักษ์=พรหมนุษยักษ์
ยักษ์ คือ เทพเจ้าแห่งการทำลายล้างสรรพสิ่งทั้งหลายในมหาจักรวาล
(มิใช่ยมพบาลอย่างที่มีผู้หลงเข้าใจผิด)
พรหมนุษยักษ์ เป็นการรวมพลังทิพยอำนาจทางจิตวิญญาณ
ระหว่างพระเวทย์กับพระธรรม
(รวมร่างครั้งที่หนึ่ง)
รวมร่างครั้งที่สองปรากฏเป็น ร่างองค์มหาพรหมนุษยักษ์ธรรมบาล
แยกออกเป็นสามร่าง
มหาพรหมกายสีม่วงสดใสเป็นประกายดั่งแก้วเปล่งรัศมี
ยักษ์กายสีแดงดั่งเหล็กเผาไฟใสดั่งแก้ว
มนุษย์สีเนื้อผิวขาวมีราศีเปล่งรัศมีสดใส
พระองค์จะทรงโคจรตรวจตราไปรอบมหาจักรวาล
ดุจการโคจรของดวงอาทิตย์ยักษ์
และจะทรงทำลายกวาดล้างสิ่งที่ไม่ถูกต้องและสิ่งชั่วร้ายด้วยพระองค์เอง
อาวุธที่พระองค์ใช้คือดวงดาวในมหาจักรวาล
มหาพรหมนุษยักษ์ธรรมบาลไม่ประทับทรงในร่างมนุษย์โดยเด็ดขาด
เพราะมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถรับพลังทิพยอำนาจของพระองค์ได้